ที่มาการวิจัย
‘CBAM’ ย่อมาจาก ‘Carbon Border Adjustment Mechanism’ หรือ ‘มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน‘ เป็นมาตรการที่สหภาพยุโรป (EU) กำหนดขึ้นเพื่อมุ่งสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแก่ประเทศคู่ค้านอกสหภาพยุโรป ‘ผ่านการใช้มาตรการด้านคาร์บอน‘ โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้นำเข้าสินค้าประเภทที่มีการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตสูง (carbon intensive products)
ปัจจุบันมาตรการ CBAM มีผลบังคับใช้เรียบร้อยแล้วโดยอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน (transitional period) ก่อนเริ่มเก็บค่า CBAM certification หรือเอกสารรับรองการจ่ายค่าธรรมเนียมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตจากผู้นำเข้าสินค้าในปี 2569 เป็นต้นไป โดยทาง EU จะกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้านำเข้าแต่ละประเภท หากสินค้าที่นำเข้ามามีค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าที่ทาง EU กำหนด ผู้นำเข้าสินค้าต้องทำการจ่ายค่า CBAM certification ผ่านช่องทางศุลกากร ดังนั้นผู้ผลิตจึงต้องเร่งดำเนินการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงและเพิ่มความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสร้างความสามารถทางการแข่งขันในตลาดของสหภาพยุโรปโดยมุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่มีคาร์บอนต่ำ
การใช้ประโยชน์
หนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการก้าวผ่านมาตรการ CBAM ได้อย่างยั่งยืน คือ การนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้าช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งประเทศไทยเองก็มีการตั้งเป้าหมายไว้เช่นกันว่า ประเทศไทยจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065
แนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อมุ่งสู่ ‘Carbon Neutrality’ หรือ ‘Net Zero’ ของภาคการผลิตประกอบด้วย
- ผู้ประกอบการต้องจัดทำข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้า เพื่อให้ทราบ baseline ของกระบวนการผลิตของตนเอง และหาจุด Hotspot ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อให้สามารถกำหนดแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างตรงจุด
- พัฒนา ปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพโรงงานหรือบริษัท
- ปรับโครงสร้างพลังงาน เพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน
- บริหารกระบวนการผลิตให้ลดการปล่อยคาร์บอน และออกแบบผลิตภัณฑ์ให้นำกลับมาใช้ใหม่ได้ (circular design)
- เพิ่มสัดส่วนการหมุนเวียนวัสดุ
- ใช้เทคโนโลยีกักเก็บและใช้ประโยชน์คาร์บอน (CCUS) และใช้การกักเก็บคาร์บอนด้วยวิถีธรรมชาติ (nature based solution)
การนำแนวทางเหล่านี้ไปใช้จะเป็นประโยชน์ทั้งในด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การก้าวผ่านมาตรการ CBAM รวมถึงเป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาวด้วย ทั้งนี้แต่ละภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ต่างมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมมือกันพัฒนากลไกสนับสนุนและให้ความร่วมมือในการปรับเปลี่ยน เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้ที่ผ่านมากระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้เข้าใจและก้าวผ่านมาตรการ CBAM ได้อย่างราบรื่น โดยสถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้นำความพร้อมและความเชี่ยวชาญเข้าดำเนินงานดังนี้
- TIIS จัดทำฐานข้อมูลวัฏจักรชีวิตเพื่อใช้ในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของสินค้าขั้นพื้นฐานและพลังงานของประเทศไทยมาโดยตลอดกว่า 15 ปี ทำให้พร้อมนำฐานข้อมูลสนับสนุนแต่ละภาคส่วนก้าวผ่าน CBAM ทั้งด้านการประเมินคาร์บอนของกระบวนการผลิตและการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อใช้วางแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- ในปี พ.ศ. 2566 TIIS ดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลสิ่งแวดล้อมให้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม เพื่อใช้ในการจัดทำรายงาน CBAM รวมถึงเป็นฐานข้อมูลกลางของประเทศ
- ปัจจุบัน TIIS กำลังขยายการสนับสนุนไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก เช่นเดียวกับที่เคยดำเนินการกับกลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม เพื่อช่วยเตรียมความพร้อมในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนการบังคับใช้มาตรการ CBAM อย่างเต็มรูปแบบ
ทั้งนี้ตัวอย่างข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการดำเนินงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยภายใต้หลักคิดโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของ TIIS และศูนย์แห่งชาติภายใต้ สวทช. ซึ่งหลังจากนี้ สวทช. จะยังคงดำเนินงานวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประเทศไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน